วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การตรัสรู้ในทัศนะของพุทธศาสนาเถรวาท


การตรัสรู้ในทัศนะของพุทธศาสนาเถรวาท
           คำว่า ตรัสรู้หรือโพธิญาณเป็นศัพท์ทางพระพุทธศาสนา หมายถึง การรู้แจ้ง (รู้อย่างแจ่มแจ้ง รู้อย่างชัดเจน) เป็นอาการของการเข้าถึงความจริง ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระพุทธเจ้าทรงตรัสอธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงความหมายและเงื่อนไขของ การตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณว่าคือการรู้แจ้งซึ่งความจริงที่เรียกว่า อริยสัจ 4” (วินย.4/14 , สัง.ม.19/1665 , อภิ.วิ.35/145)

ส่วนใหญ่เราจะใช้คำว่าตรัสรู้เฉพาะสำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดา ในกรณีของพระสงฆ์สาวกโดยทั่วไปเราจะใช้คำว่าบรรลุธรรมเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามโดยสภาวะหรือตัวกระบวนการนั้น อาจจะยังพอเทียบหรือใช้แทนกันได้ แต่ การบรรลุธรรม อาจหมายเพียงแค่ การบรรลุโสดาบัน หรือระดับสูงสุดคือ การบรรลุอรหันต์ ก็ได้ ซึ่งทั้งสองประการนี้ย่อมแตกต่างจากความหมายของ การตรัสรู้ ที่ใช้สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแง่ตัวขอบเขตของความรู้ หรือ ความจริง ที่บรรลุ รวมทั้งผลที่ตามมาจากการบรรลุนั้น ๆ ด้วย เช่น การได้ฌาน อภิญญา ปฏิสัมภิทา

ความเชื่อเรื่อง การรู้แจ้งหรือการเข้าถึงความจริงสูงสุด หาใช่มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น หากแต่ศาสนาหรือระบบปรัชญาอื่นๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นในอินเดีย ยกเว้นสำนักจารวาก (ดูอธิบายศัพท์) ซึ่งเป็นปรัชญาสสารนิยม (materialism) ของอินเดียก็ล้วนแต่มีความเชื่อในทำนองนี้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่อาจแตกต่างกันไปในรายละเอียดของวิธีปฏิบัติเพื่อการรู้แจ้ง ผลอันเกิดจากการรู้แจ้ง และศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกเท่านั้น ตัวอย่างเช่น โมกษะ(Moksa) ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไกวัลย์(kaivalya) ของศาสนาเชนหรือแม้แต่ในพระพุทธศาสนาต่างนิกาย เช่น พระพุทธศาสนานิกายเซ็นในญี่ปุ่นก็มีศัพท์เฉพาะเรียกว่า ซาโตริ (satori) เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยเหตุที่ว่าศาสนาทุกศาสนา หรือระบบปรัชญาทุกระบบที่มีต้นกำเนิดอยู่ในอินเดีย (ยกเว้นจารวาก)ล้วนแล้วแต่เป็นปรัชญาที่เกิดมาจากรากฐานความเข้าใจที่ว่า ชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารนั้นเป็นทุกข์ และความทุกข์ที่ว่านี้ก็มีสาเหตุมาจากความไม่รู้ในความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ (อวิชชาหรืออวิทยา) สิ่งที่ปิดกั้นทำให้มนุษย์ไม่รู้ความจริงที่ว่านี้ก็คือกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตของมนุษย์นั่นเอง ปรัชญาอินเดียเป็นระบบปรัชญาที่เกิดมาจากความไม่พอใจต่อชีวิตที่เป็นทุกข์ของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้นักปรัชญาหรือศาสดาทั้งหลายของอินเดีย จึงได้พยายามคิดค้นแสวงหาวิธีหรือกระบวนการในการปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์อันเป็นสภาพชีวิตที่ไม่พึงปรารถนานี้ และนำไปสู่สภาพชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งนั่นก็คือสภาวะแห่งความสุขนิรันดรไม่เปลี่ยนแปลง การศึกษาเพื่อค้นหาความจริงของปรัชญาอินเดียจึงไม่ใช่เป็นแต่เพียงเพื่อต้องการสนองความอยากรู้เท่านั้น หากแต่เป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นเรื่องการปฏิบัติในชีวิตควบคู่ไปด้วย

ในโพธิราชกุมารสูตร (ม.ม.13/505) มีบันทึกเล่าถึงเรื่องราวการตรัสรู้ของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ไว้ว่าเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 35 พรรษา ภายหลังการบำเพ็ญเพียรมาด้วยวิธีการต่างๆ เป็นเวลาถึง 6 ปี ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระองค์ประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณให้จงได้ แล้วจึงทำสมาธิจนบรรลุรูปฌานทั้ง 4 ขั้น เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้วด้วยอำนาจแห่งสมาธินั้น พระองค์จึงน้อมจิตไปสู่การใช้สติปัญญาพิจารณา (วิปัสสนาญาณ) จนเกิดความรู้แจ้งไปเป็นลำดับขั้น กล่าวคือ ในช่วงเวลาปฐมยาม ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกชาติได้ เวลามัชฌิมยาม ทรงได้จุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือรู้เรื่องเกิด-ตายของสัตว์ทั้งหลายว่า เป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำไว้ และเวลาปัจฉิมยาม ทรงได้อาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะหรือกิเลส นำไปสู่การตรัสรู้ อริยสัจ 4” 

ในกรณีของพระปัจเจกพุทธะก็จะบรรลุการตรัสรู้ได้ด้วยตัวท่านเองเช่นเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธะ แต่จะต่างออกไปก็ตรงที่เป็นการรู้เฉพาะตน ไม่สามารถสั่งสอนแนะนำให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ถือเป็นภาวะแห่งการตรัสรู้ที่มีลำดับรองลงมาจากสัมมาสัมพุทธะ แต่ก็ยังสูงกว่าพระอนุพุทธะ ในพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทมีพุทธพจน์ตรัสยืนยันการมีอยู่จริงของพระปักเจกพุทธะด้วยกันหลายแห่ง เช่น ในปักเจกพุทธปาทาน (ขุ.อป.32/2) ได้มีบันทึกเล่าไว้ว่า ในขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่พระเชตวันวิหาร พระอานนท์เถระเกิดความสงสัยอย่างแรงกล้าในเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงได้เข้าไปทูลถามพระพุทธองค์ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงท่านทั้งหลายจะเป็นเช่นไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และเพราะใดจึงได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธองค์ตรัสตอบพระอานนท์พอสรุปความได้ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเป็นผู้สร้างบุญญาธิการไว้ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย แต่ยังไม่ได้ตรัสรู้ในศาสนาอันเป็นสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น แต่ท่านก็เป็นผู้มีปัญญาแก่กล้าพร้อมที่จะตรัสรู้ได้เองโดยไม่ต้องรับฟังคำสั่งสอนจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และนอกจากนั้น ท่านจะยังไม่บังเกิดขึ้นมาในโลกพร้อมกับการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย แต่เมื่อตรัสรู้แล้วนั้น ด้วยความจำกัดของการบำเพ็ญบารมีบางประการ ท่านจะดำรงชีวิตอยู่ในลักษณะของบุคคลผู้เดียวเที่ยวไป (เอโก จเร) ไม่สามารถสั่งสอนให้ผู้หนึ่งผู้ใดตรัสรู้ตามได้

ส่วนพระอนุพุทธะหรือพระสาวกพุทธะนั้นก็คือผู้ที่สามารถตรัสรู้ได้ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือก็คือพระอริยสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ตัวอย่างเช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระอานนท์ หรือที่เป็นเพศหญิง เช่น พระมหาปชาบดีเถรี พระอุบลวรรณาเถรีเป็นต้น ท่านผู้เป็นพระอนุพุทธะหรือพระสาวกพุทธะทั้งหลายเหล่านี้เมื่อตรัสรู้ได้ตามพระสัมมาสัมพุทธะแล้วนั้น ยังสามารถสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้ตามได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับพระสัมมาสัมพุทธะ ความสามารถในการสั่งสอนผู้อื่นนี้ก็ยังนับว่าห่างกันไกลอยู่มากเลยทีเดียว พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้มีระบุลำดับการบรรลุธรรมหรือการรู้แจ้งของพระอนุพุทธะไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามความสามารถในการละกิเลสที่เรียกว่าสังโยชน์ (ส.ม.19/349 , อัง.ทสก.24/13 , อภิ.วิ.35/976-977) ซึ่งผูกมัดใจสัตว์ไว้กับความทุกข์ มี 10 ประการ ได้แก่ 1. สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นว่าขันธ์ห้าที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเราหรือของคนอื่น ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริงปรมัตถ์ว่า นั่นเป็นแต่เพียงการเรียกกันตามที่สมมติกันขึ้นมาเท่านั้น 2. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในหลักพระธรรมคำสอนและพระสงฆ์สาวกของพระองค์ ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในการฏิบัติธรรมเพื่อให้พ้นจากทุกข์ 3. สีลัพพตปรามาส คือ ความยึดถือแต่เพียงพิธีกรรมของศาสนาอันเป็นแต่เพียงเปลือกนอกโดยไม่เข้าใจในเนื้อแท้ของสิ่งที่ตนนับถือและปฏิบัติอยู่ 4. กามราคะ คือ ความยินดีในกามคุณห้า ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย ที่น่ารักน่าพอใจ 5. ปฏิฆะ คือ ความคับแค้นขุ่นเคืองใจ เมื่อความยินดีความปรารถนานั้นไม่ได้ดังใจ 6. รูปราคะ คือ ความติดใจยินดีในความสุขของรูปฌาณอันเป็นรูปธรรมที่ปราณีตละเอียดอ่อนมากกว่ากาม 7. อรูปราคะ คือความติดใจยินดีในความสุขของอรูปฌาณซึ่งละเอียดอ่อนมากกว่ารูปฌาณ 8. มานะ คือ ความถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่โดยการเปรียบเทียบกับคนอื่น 9. อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญใจ 10. อวิชชา คือ ความไม่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต หรือก็คือการไม่รู้ในอริยสัจ 4 นั่นเอง

ความสามารถในการละสังโยชน์จะเรียงจากต่ำไปหาสูง ดังนั้น ตามทัศนะของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทการตรัสรู้ การรู้แจ้ง หรือการบรรลุธรรมจึงมีลำดับขั้นที่เป็นระบบกฎเกณฑ์แน่นอนชัดเจน ดังนี้

พระโสดาบัน เป็นผู้ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสได้

พระสกิทาคามี เป็นผู้ละสังโยชน์ 3 อย่างได้เช่นเดียวกับที่พระโสดาบันละได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถทำราคะ โทสะ และโมหะให้เบาบางลงไปได้อีก

พระอานาคามี เป็นผู้ละสังโยชน์เพิ่มขึ้นได้อีก 2 อย่าง (จากที่พระโสดาบันและพระสกิทาคามีละได้) ได้แก่ กามราคะและปฏิฆะ รวมเป็น 5 อย่าง

พระอรหันต์ เป็นผู้ละสังโยชน์ทั้ง 10 อย่างได้โดยสมบูรณ์ (อภิ.วิ.35/837)

ขอให้สังเกตว่าพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันและพระสกิทาคามีนี้ยังคงละกามราคะไม่ได้ ดังนั้น พระอริยบุคคลทั้งสองประเภทนี้จึงยังคงมีครอบครัวและเกี่ยวข้องกับกามอยู่ แต่เป็นการเกี่ยวข้องภายใต้กรอบของศีลธรรม จะไม่มีการประพฤติผิดศีลเป็นอันขาด ตัวอย่างเช่น นางวิสาขามหาอุบาสิกา ผู้บรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบ มีลูกชาย หญิง ถึง 20 คน เป็นต้น ส่วนพระอานาคามีและพระอรหันต์ ด้วยเหตุที่สามารถละกามราคะได้แล้ว จึงไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับกามอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม พระอนาคามีก็ยังคงสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในเพศฆราวาสหรือมีครอบครัวได้อยู่ (ในกรณีที่ท่านแต่งงานก่อนที่จะบรรลุพระอานาคามี) เป็นแต่เพียงจะไม่มีการยุ่งเกี่ยวทางเพศกับคู่สมรสต่อไปอีกแล้วเท่านั้น

การแบ่ง พุทธะ ออกเป็น 3 ประเภทดังกล่าวข้างต้นนี้ เป็นการแบ่งโดยใช้ระดับของผู้บรรลุตามระดับความจริง หรือความรู้ที่บรรลุถึงเป็นเกณฑ์ นอกจากการแบ่งแบบนี้แล้ว ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาก็ยังมีวิธีการแบ่งแบบอื่น ๆ ไว้อีก เช่น การแบ่งโดยใช้รายละเอียดของวิธีปฏิบัติที่เน้นแตกต่างกัน เป็นปัญญาวิมุติ และ เจโตวิมุติ(อัง.ทุก.20/276) ประเภทแรกคือผู้หลุดพ้นด้วยปัญญาหรือด้วยการเจริญวิปัสสนาโดยมิได้อรูปสมาบัติมาก่อน ส่วนประเภทหลังคือผู้หลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ

ในพระไตรปิฎกมีบันทึกเหตุการณ์การบรรลุธรรม หรือการตรัสรู้ หรือการรู้แจ้งของบุคคลต่างๆไว้ด้วยกันมากมาย ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นขั้นเป็นตอนให้มองเห็นได้ชัดเจนว่าการบรรลุธรรมในกรณีนั้นๆ เป็นผลจากการฝึกฝนตนเองด้วยความตั้งอกตั้งใจอย่างยากลำบากของผู้ปฏิบัติแต่อย่างไรก็ตามในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นมีอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งดูคล้ายกับว่าจะเป็นการบรรลุธรรมที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญและง่ายดาย การบรรลุธรรมในกรณีเช่นนี้จึงมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจ และมักจะมีการอ้างอิงถึงอยู่เสมอ ดังนั้นจึงจะขอนำมากล่าวไว้ในที่นี้เพื่อให้เป็นตัวอย่างและเพื่อประโยชน์ในการสืบค้นต่อไป

กรณีที่ 1 การบรรลุธรรมของพระอานนท์ มีเรื่องเล่าอยู่ว่าภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ไม่นาน พระมหากัสสปะซึ่งเป็นพระเถระที่มีอาวุโสมากในขณะนั้นได้ปรารภกับเหล่าพระภิกษุถึงเรื่องการทำสังคายนา พระอานนท์เป็นองค์วิสัชนาพระธรรม พระภิกษุที่จะเข้าร่วมทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ยกเว้นพระอานนท์คนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเป็นแต่เพียงพระโสดาบันอยู่ พระอานนท์เกิดความละอาย จนต้องเร่งรีบปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุพระอรหันต์ทันวันทำสังคายนาแต่ไม่ว่าพระอานนท์จะคร่ำเคร่งอยู่กับการบำเพ็ญเพียรสักปานใดก็ไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุตามที่ได้ตั้งใจไว้ จนกระทั้งถึงวันสุดท้ายก่อนสังคายนา พระอานนท์เห็นว่าตนเองคร่ำเคร่งปฏิบัติธรรมมาแล้วหลายวันจนทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย ท่านจึงคิดจะพักผ่อน ขณะที่ท่านกำลังเอนตัวลงนอน หัวยังไม่ทันถึงหมอน ท่านก็ได้บรรลุธรรมในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนนั่นเอง (วินย.7/617)

กรณีที่ 2 การบรรลุธรรมของท่านพาหิยะ มีเรื่องเล่าว่าท่านเป็นนักบวชนอกศาสนาผู้นุ่งเปลือกไม้ ท่านได้ดำเนินชีวิตทำนองนี้เรื่อยมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งวันหนึ่งท่านได้ยินกิตติศัพท์ของพระพุทธเจ้า ท่านจึงได้เดินทางเพื่อมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงธรรมอย่างสั้นๆไม่กี่คำว่า พาหิยะ เธอจงสำเหนียกอยู่เสมอว่าเมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็นเพียงคำตรัสสั้นๆ เท่านี้เอง ท่านพาหิยะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในทันที ด้วยความรวดเร็วเช่นนี้ ท่านจึงได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะ คือเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางขิปปาภิญญา คือ ตรัสรู้เร็วพลัน (ขุ.ขุ.25/4750)

กรณีที่ 3 การบรรลุธรรมของพระโคธิกะ ท่านพระโคธิกะเป็นภิกษุผู้ได้ฌาณบวชอยู่ในพระพุทธศาสนา แต่เนื่องด้วยสุขภาพของท่านไม่ค่อยดีจึงทำให้ฌานของท่านเสื่อมอยู่บ่อยๆ จนท่านรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตอันเต็มไปด้วยความทุกข์ที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บนี้ ในที่สุดท่านจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยการใช้มีดโกนเชือดคอ ก่อนที่ท่านจะตาย ท่านได้ใช้โอกาสในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนสิ้นชีวิตเจริญวิปัสสนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ (สัง.ส.15/488-495)

          กรณีที่ 4 การบรรลุธรรมของพระจูฬปันถกะตามประวัติท่านได้เข้ามาบวชเป็นภิกษุอยู่ในพระพุทธ ศาสนาตามคำชักชวนของพี่ชายคือพระมหาปันถกะ ผู้ซึ่งมาบวชและตั้งใจปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์อยู่ก่อนแล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงประทานผ้าขาวอันบริสุทธ์ให้พระจูฬปันถกะนั่งลูบคลำ เวลาผ่านไปไม่นาน ผ้านั้นก็หม่นหมองลง พระจูฬปันถกะเกิดความคิดว่าผ้านี้แต่เดิมเคยเป็นของขาวบริสุทธิ์อย่างยิ่ง แต่เมื่อถูกกระทำเช่นนี้จึงละภาวะเดิมเสียกลายเป็นผ้าที่หม่นหมองไป สังขารทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน คือไม่เที่ยงหนอ พระพุทธเจ้าทรงทราบวาระจิตของท่านพระจูฬปันถกะจึงตรัสสั่งสอนด้วยพระคาถาและเมื่อจบพระคาถา ท่านพระจูฬปันถกะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขณะที่ยังลูบคลำผ้าอยู่นั่นเอง (ขุ.เถร.26/373)

        กรณีที่ 5 การบรรลุธรรมของพระวักกลิ มีบันทึกไว้ว่าท่านพระวักกลิตัดสินใจบวชเป็นภิกษุอยู่ในพระพุทธศาสนา เพื่อที่จะได้มีโอกาสเห็นพระพุทธองค์ทุกๆ วัน เมื่อบวชแล้วท่านก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาตามดูพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นอันที่จะได้ปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด จนในที่สุดพระพุทธองค์จึงทรงประกาศท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ให้ขับไล่พระวักกลิออกไปเสียจากสำนักของพระองค์ ท่านพระวักกลิเกิดความเศร้าโศกเสียใจอย่างมาก จึงขึ้นไปสู่ยอดเขาคิชกูฏ ขณะที่กำลังจะกระโจนลงมา พระพุทธองค์ซึ่งล่วงรู้วาระจิตของพระวักกลิว่าพร้อมแล้วที่จะรับการสั่งสอนจากพระองค์ จึงทรงปรากฏให้พระวักกลิได้เห็นในที่เฉพาะหน้า และตรัสสอนด้วยธรรมกถามีประการต่างๆ ส่งผลให้พระวักกลิเกิดความปีติปราโมทย์อย่างมาก พร้อมกับการตั้งจิตพิจารณาไปตามพระโอวาทที่พระพุทธองค์ตรัสสอนจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ต่อหน้าพระพักตร์ของพระบรมศาสดาในขณะเดี๋ยวนั้นเอง ภายหลังพระพุทธองค์จึงได้ทรงตั้งท่านพระวักกลิไว้ในตำแหน่งเอตทัตคะ คือ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในด้านสัทธาวิมุตติหรือการตรัสรู้พ้นจากกิเลสได้ด้วยศรัทธา (ขุ.อป.33/122)

กล่าวโดยสรุป ในทัศนะของพุทธศาสนาเถรวาท การตรัสรู้มีหลายลักษณะ ในแง่ของปัญญา ความรู้ที่เพียงพอหรือจำเป็นต่อการดับทุกข์การตรัสรู้ทุกลักษณะมีเท่ากันส่วนปัญญาความรู้ที่อยู่นอกเหนือความจำเป็นในการดับทุกข์ในลักษณะต่างๆ อาจมีไม่เท่ากัน เช่น ความรู้ที่นำไปสู่ความสามารถในการสั่งสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตาม เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญบารมีสั่งสมมาในอดีตที่แตกต่างกัน

 

เอกสารอ้างอิง

กรมการศาสนา. 2521. พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง. 45 เล่ม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา.

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ. 2541. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?. พิมพ์ครั้งที่ 2.     กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.

สมภาร พรมทา. 2540. พุทธศาสนามหายานนิกายหลัก. กรุงเทพฯจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). 2546. พุทธธรรมฉบับขยายความ. กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). 2543. พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมาลศัพท์.พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.