การตรัสรู้ในทัศนะของพุทธศาสนาเถรวาท
คำว่า
“ตรัสรู้” หรือ“โพธิญาณ”เป็นศัพท์ทางพระพุทธศาสนา หมายถึง “การรู้แจ้ง” (รู้อย่างแจ่มแจ้ง รู้อย่างชัดเจน) เป็นอาการของการเข้าถึงความจริง ใน “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร”
พระพุทธเจ้าทรงตรัสอธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงความหมายและเงื่อนไขของ “การตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ” ว่าคือการรู้แจ้งซึ่งความจริงที่เรียกว่า
“อริยสัจ 4” (วินย.4/14 , สัง.ม.19/1665 , อภิ.วิ.35/145)
ส่วนใหญ่เราจะใช้คำว่า“ตรัสรู้” เฉพาะสำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดา
ในกรณีของพระสงฆ์สาวกโดยทั่วไปเราจะใช้คำว่า“บรรลุธรรม”
เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามโดยสภาวะหรือตัวกระบวนการนั้น
อาจจะยังพอเทียบหรือใช้แทนกันได้ แต่ “การบรรลุธรรม” อาจหมายเพียงแค่ “การบรรลุโสดาบัน” หรือระดับสูงสุดคือ “การบรรลุอรหันต์” ก็ได้ ซึ่งทั้งสองประการนี้ย่อมแตกต่างจากความหมายของ “การตรัสรู้”
ที่ใช้สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแง่ตัวขอบเขตของความรู้ หรือ “ความจริง” ที่บรรลุ
รวมทั้งผลที่ตามมาจากการบรรลุนั้น ๆ ด้วย เช่น การได้ฌาน อภิญญา ปฏิสัมภิทา
ความเชื่อเรื่อง
“การรู้แจ้ง” หรือการเข้าถึงความจริงสูงสุด
หาใช่มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น หากแต่ศาสนาหรือระบบปรัชญาอื่นๆ
ที่ถือกำเนิดขึ้นในอินเดีย ยกเว้นสำนักจารวาก (ดูอธิบายศัพท์)
ซึ่งเป็นปรัชญาสสารนิยม (materialism)
ของอินเดียก็ล้วนแต่มีความเชื่อในทำนองนี้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่อาจแตกต่างกันไปในรายละเอียดของวิธีปฏิบัติเพื่อการรู้แจ้ง
ผลอันเกิดจากการรู้แจ้ง และศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกเท่านั้น ตัวอย่างเช่น “โมกษะ” (Moksa)
ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู “ไกวัลย์” (kaivalya) ของศาสนาเชนหรือแม้แต่ในพระพุทธศาสนาต่างนิกาย เช่น
พระพุทธศาสนานิกายเซ็นในญี่ปุ่นก็มีศัพท์เฉพาะเรียกว่า “ซาโตริ” (satori) เป็นต้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยเหตุที่ว่าศาสนาทุกศาสนา
หรือระบบปรัชญาทุกระบบที่มีต้นกำเนิดอยู่ในอินเดีย
(ยกเว้นจารวาก)ล้วนแล้วแต่เป็นปรัชญาที่เกิดมาจากรากฐานความเข้าใจที่ว่า “ชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารนั้นเป็นทุกข์” และความทุกข์ที่ว่านี้ก็มีสาเหตุมาจากความไม่รู้ในความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ
(อวิชชาหรืออวิทยา)
สิ่งที่ปิดกั้นทำให้มนุษย์ไม่รู้ความจริงที่ว่านี้ก็คือกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตของมนุษย์นั่นเอง
ปรัชญาอินเดียเป็นระบบปรัชญาที่เกิดมาจากความไม่พอใจต่อชีวิตที่เป็นทุกข์ของมนุษย์
ด้วยเหตุนี้นักปรัชญาหรือศาสดาทั้งหลายของอินเดีย
จึงได้พยายามคิดค้นแสวงหาวิธีหรือกระบวนการในการปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์อันเป็นสภาพชีวิตที่ไม่พึงปรารถนานี้
และนำไปสู่สภาพชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งนั่นก็คือสภาวะแห่งความสุขนิรันดรไม่เปลี่ยนแปลง
การศึกษาเพื่อค้นหาความจริงของปรัชญาอินเดียจึงไม่ใช่เป็นแต่เพียงเพื่อต้องการสนองความอยากรู้เท่านั้น
หากแต่เป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นเรื่องการปฏิบัติในชีวิตควบคู่ไปด้วย
ในโพธิราชกุมารสูตร
(ม.ม.13/505) มีบันทึกเล่าถึงเรื่องราวการตรัสรู้ของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไว้ว่าเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 35 พรรษา
ภายหลังการบำเพ็ญเพียรมาด้วยวิธีการต่างๆ เป็นเวลาถึง 6 ปี
ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระองค์ประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
ทรงตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณให้จงได้ แล้วจึงทำสมาธิจนบรรลุรูปฌานทั้ง
4 ขั้น เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้วด้วยอำนาจแห่งสมาธินั้น
พระองค์จึงน้อมจิตไปสู่การใช้สติปัญญาพิจารณา (วิปัสสนาญาณ)
จนเกิดความรู้แจ้งไปเป็นลำดับขั้น กล่าวคือ ในช่วงเวลาปฐมยาม
ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกชาติได้ เวลามัชฌิมยาม
ทรงได้จุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือรู้เรื่องเกิด-ตายของสัตว์ทั้งหลายว่า
เป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำไว้ และเวลาปัจฉิมยาม ทรงได้อาสวักขยญาณ คือ
ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะหรือกิเลส นำไปสู่การตรัสรู้ “อริยสัจ
4”
ในกรณีของพระปัจเจกพุทธะก็จะบรรลุการตรัสรู้ได้ด้วยตัวท่านเองเช่นเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธะ
แต่จะต่างออกไปก็ตรงที่เป็นการรู้เฉพาะตน
ไม่สามารถสั่งสอนแนะนำให้ผู้อื่นรู้ตามได้
ถือเป็นภาวะแห่งการตรัสรู้ที่มีลำดับรองลงมาจากสัมมาสัมพุทธะ
แต่ก็ยังสูงกว่าพระอนุพุทธะ ในพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทมีพุทธพจน์ตรัสยืนยันการมีอยู่จริงของพระปักเจกพุทธะด้วยกันหลายแห่ง
เช่น ในปักเจกพุทธปาทาน (ขุ.อป.32/2) ได้มีบันทึกเล่าไว้ว่า
ในขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่พระเชตวันวิหาร
พระอานนท์เถระเกิดความสงสัยอย่างแรงกล้าในเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้า
จึงได้เข้าไปทูลถามพระพุทธองค์ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่
ถ้ามีจริงท่านทั้งหลายจะเป็นเช่นไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
และเพราะใดจึงได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ตรัสตอบพระอานนท์พอสรุปความได้ว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเป็นผู้สร้างบุญญาธิการไว้ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
แต่ยังไม่ได้ตรัสรู้ในศาสนาอันเป็นสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น
แต่ท่านก็เป็นผู้มีปัญญาแก่กล้าพร้อมที่จะตรัสรู้ได้เองโดยไม่ต้องรับฟังคำสั่งสอนจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และนอกจากนั้น
ท่านจะยังไม่บังเกิดขึ้นมาในโลกพร้อมกับการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย
แต่เมื่อตรัสรู้แล้วนั้น ด้วยความจำกัดของการบำเพ็ญบารมีบางประการ
ท่านจะดำรงชีวิตอยู่ในลักษณะของบุคคลผู้เดียวเที่ยวไป (เอโก จเร)
ไม่สามารถสั่งสอนให้ผู้หนึ่งผู้ใดตรัสรู้ตามได้
ส่วนพระอนุพุทธะหรือพระสาวกพุทธะนั้นก็คือผู้ที่สามารถตรัสรู้ได้ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือก็คือพระอริยสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ตัวอย่างเช่น พระสารีบุตร
พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระอานนท์ หรือที่เป็นเพศหญิง เช่น พระมหาปชาบดีเถรี
พระอุบลวรรณาเถรีเป็นต้น
ท่านผู้เป็นพระอนุพุทธะหรือพระสาวกพุทธะทั้งหลายเหล่านี้เมื่อตรัสรู้ได้ตามพระสัมมาสัมพุทธะแล้วนั้น
ยังสามารถสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้ตามได้อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับพระสัมมาสัมพุทธะ ความสามารถในการสั่งสอนผู้อื่นนี้ก็ยังนับว่าห่างกันไกลอยู่มากเลยทีเดียว
พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้มีระบุลำดับการบรรลุธรรมหรือการรู้แจ้งของพระอนุพุทธะไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามความสามารถในการละกิเลสที่เรียกว่าสังโยชน์
(ส.ม.19/349 , อัง.ทสก.24/13 , อภิ.วิ.35/976-977) ซึ่งผูกมัดใจสัตว์ไว้กับความทุกข์ มี 10 ประการ ได้แก่ 1. สักกายทิฏฐิ คือ
ความเห็นว่าขันธ์ห้าที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเราหรือของคนอื่น
ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริงปรมัตถ์ว่า
นั่นเป็นแต่เพียงการเรียกกันตามที่สมมติกันขึ้นมาเท่านั้น 2. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในหลักพระธรรมคำสอนและพระสงฆ์สาวกของพระองค์
ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในการฏิบัติธรรมเพื่อให้พ้นจากทุกข์ 3. สีลัพพตปรามาส คือ
ความยึดถือแต่เพียงพิธีกรรมของศาสนาอันเป็นแต่เพียงเปลือกนอกโดยไม่เข้าใจในเนื้อแท้ของสิ่งที่ตนนับถือและปฏิบัติอยู่
4. กามราคะ คือ ความยินดีในกามคุณห้า ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น
รส สัมผัสทางกาย ที่น่ารักน่าพอใจ 5. ปฏิฆะ คือ
ความคับแค้นขุ่นเคืองใจ เมื่อความยินดีความปรารถนานั้นไม่ได้ดังใจ 6. รูปราคะ คือ
ความติดใจยินดีในความสุขของรูปฌาณอันเป็นรูปธรรมที่ปราณีตละเอียดอ่อนมากกว่ากาม 7. อรูปราคะ คือความติดใจยินดีในความสุขของอรูปฌาณซึ่งละเอียดอ่อนมากกว่ารูปฌาณ
8. มานะ คือ
ความถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่โดยการเปรียบเทียบกับคนอื่น 9. อุทธัจจะ
คือ ความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญใจ 10. อวิชชา คือ
ความไม่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต หรือก็คือการไม่รู้ในอริยสัจ 4 นั่นเอง
ความสามารถในการละสังโยชน์จะเรียงจากต่ำไปหาสูง
ดังนั้น ตามทัศนะของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทการตรัสรู้ การรู้แจ้ง
หรือการบรรลุธรรมจึงมีลำดับขั้นที่เป็นระบบกฎเกณฑ์แน่นอนชัดเจน ดังนี้
พระโสดาบัน
เป็นผู้ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสได้
พระสกิทาคามี
เป็นผู้ละสังโยชน์ 3 อย่างได้เช่นเดียวกับที่พระโสดาบันละได้
แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถทำราคะ โทสะ และโมหะให้เบาบางลงไปได้อีก
พระอานาคามี
เป็นผู้ละสังโยชน์เพิ่มขึ้นได้อีก 2 อย่าง
(จากที่พระโสดาบันและพระสกิทาคามีละได้) ได้แก่ กามราคะและปฏิฆะ รวมเป็น 5 อย่าง
พระอรหันต์
เป็นผู้ละสังโยชน์ทั้ง 10 อย่างได้โดยสมบูรณ์
(อภิ.วิ.35/837)
ขอให้สังเกตว่าพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันและพระสกิทาคามีนี้ยังคงละกามราคะไม่ได้
ดังนั้น พระอริยบุคคลทั้งสองประเภทนี้จึงยังคงมีครอบครัวและเกี่ยวข้องกับกามอยู่
แต่เป็นการเกี่ยวข้องภายใต้กรอบของศีลธรรม จะไม่มีการประพฤติผิดศีลเป็นอันขาด
ตัวอย่างเช่น นางวิสาขามหาอุบาสิกา ผู้บรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบ มีลูกชาย
หญิง ถึง 20 คน เป็นต้น ส่วนพระอานาคามีและพระอรหันต์
ด้วยเหตุที่สามารถละกามราคะได้แล้ว จึงไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับกามอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม
พระอนาคามีก็ยังคงสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในเพศฆราวาสหรือมีครอบครัวได้อยู่
(ในกรณีที่ท่านแต่งงานก่อนที่จะบรรลุพระอานาคามี)
เป็นแต่เพียงจะไม่มีการยุ่งเกี่ยวทางเพศกับคู่สมรสต่อไปอีกแล้วเท่านั้น
การแบ่ง
“พุทธะ” ออกเป็น 3 ประเภทดังกล่าวข้างต้นนี้ เป็นการแบ่งโดยใช้ระดับของผู้บรรลุตามระดับความจริง
หรือความรู้ที่บรรลุถึงเป็นเกณฑ์ นอกจากการแบ่งแบบนี้แล้ว
ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาก็ยังมีวิธีการแบ่งแบบอื่น ๆ ไว้อีก เช่น
การแบ่งโดยใช้รายละเอียดของวิธีปฏิบัติที่เน้นแตกต่างกัน เป็น “ปัญญาวิมุติ” และ “เจโตวิมุติ”
(อัง.ทุก.20/276)
ประเภทแรกคือผู้หลุดพ้นด้วยปัญญาหรือด้วยการเจริญวิปัสสนาโดยมิได้อรูปสมาบัติมาก่อน
ส่วนประเภทหลังคือผู้หลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ
ในพระไตรปิฎกมีบันทึกเหตุการณ์การบรรลุธรรม
หรือการตรัสรู้ หรือการรู้แจ้งของบุคคลต่างๆไว้ด้วยกันมากมาย
ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นขั้นเป็นตอนให้มองเห็นได้ชัดเจนว่าการบรรลุธรรมในกรณีนั้นๆ
เป็นผลจากการฝึกฝนตนเองด้วยความตั้งอกตั้งใจอย่างยากลำบากของผู้ปฏิบัติแต่อย่างไรก็ตามในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นมีอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งดูคล้ายกับว่าจะเป็นการบรรลุธรรมที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญและง่ายดาย
การบรรลุธรรมในกรณีเช่นนี้จึงมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจ
และมักจะมีการอ้างอิงถึงอยู่เสมอ
ดังนั้นจึงจะขอนำมากล่าวไว้ในที่นี้เพื่อให้เป็นตัวอย่างและเพื่อประโยชน์ในการสืบค้นต่อไป
กรณีที่
1 การบรรลุธรรมของพระอานนท์ มีเรื่องเล่าอยู่ว่าภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ไม่นาน
พระมหากัสสปะซึ่งเป็นพระเถระที่มีอาวุโสมากในขณะนั้นได้ปรารภกับเหล่าพระภิกษุถึงเรื่องการทำสังคายนา
พระอานนท์เป็นองค์วิสัชนาพระธรรม
พระภิกษุที่จะเข้าร่วมทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
ยกเว้นพระอานนท์คนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเป็นแต่เพียงพระโสดาบันอยู่
พระอานนท์เกิดความละอาย
จนต้องเร่งรีบปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุพระอรหันต์ทันวันทำสังคายนาแต่ไม่ว่าพระอานนท์จะคร่ำเคร่งอยู่กับการบำเพ็ญเพียรสักปานใดก็ไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุตามที่ได้ตั้งใจไว้
จนกระทั้งถึงวันสุดท้ายก่อนสังคายนา
พระอานนท์เห็นว่าตนเองคร่ำเคร่งปฏิบัติธรรมมาแล้วหลายวันจนทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย
ท่านจึงคิดจะพักผ่อน ขณะที่ท่านกำลังเอนตัวลงนอน หัวยังไม่ทันถึงหมอน
ท่านก็ได้บรรลุธรรมในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนนั่นเอง (วินย.7/617)
กรณีที่
2 การบรรลุธรรมของท่านพาหิยะ
มีเรื่องเล่าว่าท่านเป็นนักบวชนอกศาสนาผู้นุ่งเปลือกไม้
ท่านได้ดำเนินชีวิตทำนองนี้เรื่อยมาเป็นเวลานาน
จนกระทั่งวันหนึ่งท่านได้ยินกิตติศัพท์ของพระพุทธเจ้า
ท่านจึงได้เดินทางเพื่อมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงธรรมอย่างสั้นๆไม่กี่คำว่า
“พาหิยะ เธอจงสำเหนียกอยู่เสมอว่าเมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น”เพียงคำตรัสสั้นๆ เท่านี้เอง ท่านพาหิยะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในทันที
ด้วยความรวดเร็วเช่นนี้ ท่านจึงได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะ
คือเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางขิปปาภิญญา คือ ตรัสรู้เร็วพลัน
(ขุ.ขุ.25/4750)
กรณีที่
3 การบรรลุธรรมของพระโคธิกะ ท่านพระโคธิกะเป็นภิกษุผู้ได้ฌาณบวชอยู่ในพระพุทธศาสนา
แต่เนื่องด้วยสุขภาพของท่านไม่ค่อยดีจึงทำให้ฌานของท่านเสื่อมอยู่บ่อยๆ
จนท่านรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตอันเต็มไปด้วยความทุกข์ที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บนี้
ในที่สุดท่านจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยการใช้มีดโกนเชือดคอ ก่อนที่ท่านจะตาย
ท่านได้ใช้โอกาสในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนสิ้นชีวิตเจริญวิปัสสนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์
(สัง.ส.15/488-495)
กรณีที่ 4
การบรรลุธรรมของพระจูฬปันถกะตามประวัติท่านได้เข้ามาบวชเป็นภิกษุอยู่ในพระพุทธ ศาสนาตามคำชักชวนของพี่ชายคือพระมหาปันถกะ
ผู้ซึ่งมาบวชและตั้งใจปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์อยู่ก่อนแล้ว
พระพุทธองค์ได้ทรงประทานผ้าขาวอันบริสุทธ์ให้พระจูฬปันถกะนั่งลูบคลำ
เวลาผ่านไปไม่นาน ผ้านั้นก็หม่นหมองลง พระจูฬปันถกะเกิดความคิดว่าผ้านี้แต่เดิมเคยเป็นของขาวบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
แต่เมื่อถูกกระทำเช่นนี้จึงละภาวะเดิมเสียกลายเป็นผ้าที่หม่นหมองไป สังขารทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน
คือไม่เที่ยงหนอ พระพุทธเจ้าทรงทราบวาระจิตของท่านพระจูฬปันถกะจึงตรัสสั่งสอนด้วยพระคาถาและเมื่อจบพระคาถา
ท่านพระจูฬปันถกะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขณะที่ยังลูบคลำผ้าอยู่นั่นเอง
(ขุ.เถร.26/373)
กรณีที่
5 การบรรลุธรรมของพระวักกลิ
มีบันทึกไว้ว่าท่านพระวักกลิตัดสินใจบวชเป็นภิกษุอยู่ในพระพุทธศาสนา
เพื่อที่จะได้มีโอกาสเห็นพระพุทธองค์ทุกๆ วัน
เมื่อบวชแล้วท่านก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาตามดูพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้า
ไม่เป็นอันที่จะได้ปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด
จนในที่สุดพระพุทธองค์จึงทรงประกาศท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ให้ขับไล่พระวักกลิออกไปเสียจากสำนักของพระองค์
ท่านพระวักกลิเกิดความเศร้าโศกเสียใจอย่างมาก จึงขึ้นไปสู่ยอดเขาคิชกูฏ
ขณะที่กำลังจะกระโจนลงมา พระพุทธองค์ซึ่งล่วงรู้วาระจิตของพระวักกลิว่าพร้อมแล้วที่จะรับการสั่งสอนจากพระองค์
จึงทรงปรากฏให้พระวักกลิได้เห็นในที่เฉพาะหน้า และตรัสสอนด้วยธรรมกถามีประการต่างๆ
ส่งผลให้พระวักกลิเกิดความปีติปราโมทย์อย่างมาก
พร้อมกับการตั้งจิตพิจารณาไปตามพระโอวาทที่พระพุทธองค์ตรัสสอนจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ต่อหน้าพระพักตร์ของพระบรมศาสดาในขณะเดี๋ยวนั้นเอง
ภายหลังพระพุทธองค์จึงได้ทรงตั้งท่านพระวักกลิไว้ในตำแหน่งเอตทัตคะ คือ
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
ในด้านสัทธาวิมุตติหรือการตรัสรู้พ้นจากกิเลสได้ด้วยศรัทธา (ขุ.อป.33/122)
กล่าวโดยสรุป
ในทัศนะของพุทธศาสนาเถรวาท การตรัสรู้มีหลายลักษณะ ในแง่ของปัญญา
ความรู้ที่เพียงพอหรือจำเป็นต่อการดับทุกข์การตรัสรู้ทุกลักษณะมีเท่ากันส่วนปัญญาความรู้ที่อยู่นอกเหนือความจำเป็นในการดับทุกข์ในลักษณะต่างๆ
อาจมีไม่เท่ากัน เช่น ความรู้ที่นำไปสู่ความสามารถในการสั่งสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตาม
เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญบารมีสั่งสมมาในอดีตที่แตกต่างกัน
เอกสารอ้างอิง
กรมการศาสนา. 2521. พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง.
45 เล่ม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา.
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชฯ. 2541. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.
สมภาร
พรมทา. 2540. พุทธศาสนามหายานนิกายหลัก. กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พระธรรมปิฎก
(ประยุทธ์ ปยุตฺโต). 2546. พุทธธรรมฉบับขยายความ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). 2543. พจนานุกรมพุทธศาสน์
ฉบับประมาลศัพท์.พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.